1. เอกสารไม่ครบถ้วนและไม่เป็นระบบ
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้การขอสินเชื่อล่าช้าหรือถูกปฏิเสธ คือการยื่นเอกสารไม่ครบถ้วน หลายครั้งผู้รับเหมามีสัญญางานจริง แต่กลับไม่มีสำเนาที่เป็นทางการ หรือตัวเลขงบการเงินไม่ตรงกับบัญชีธนาคาร สิ่งเหล่านี้ทำให้สถาบันการเงินลังเลที่จะอนุมัติ เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบความโปร่งใสได้อย่างชัดเจน
ตัวอย่าง: ผู้รับเหมารายหนึ่งมีสัญญางานก่อสร้างโรงงานมูลค่า 10 ล้านบาท แต่ยื่นเพียงใบเสนอราคาโดยไม่มีสัญญาเซ็นจริง ธนาคารจึงไม่สามารถใช้เอกสารนั้นเป็นหลักฐานยืนยันรายได้ในอนาคตได้ ส่งผลให้การอนุมัติถูกเลื่อนออกไป
แนวทางแก้: จัดเก็บเอกสารให้เป็นระบบ แยกโฟลเดอร์สำหรับสัญญา ใบกำกับภาษี และบัญชีธนาคาร เมื่อถึงเวลาขอสินเชื่อก็สามารถส่งมอบเอกสารได้ครบถ้วนทันที
2. ประวัติการเงินไม่ดี
สถาบันการเงินให้ความสำคัญอย่างมากกับประวัติการเงินของผู้กู้ หากมีการชำระหนี้ล่าช้า ใช้บัตรเครดิตเกินวงเงิน หรือมีหนี้ค้างชำระ จะถูกมองว่าเป็นผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูง แม้จะมีสัญญางานในมือ แต่ถ้าประวัติการเงินไม่ดี โอกาสอนุมัติก็ต่ำ
ตัวอย่าง: ผู้รับเหมามีงานโครงการภาครัฐที่มั่นคง แต่เคยค้างชำระสินเชื่อรถกระบะเกิน 90 วัน ทำให้เครดิตเสีย และธนาคารไม่กล้าอนุมัติสินเชื่อธุรกิจวงเงินสูง
แนวทางแก้: รักษาวินัยทางการเงิน ชำระหนี้ตรงเวลา และตรวจสอบเครดิตบูโรเป็นประจำ หากมีประวัติเสีย ควรชำระหนี้ที่ค้างก่อน และขอเอกสารยืนยันการปิดบัญชี เพื่อนำไปยื่นเป็นหลักฐานประกอบ
3. ไม่มีงบการเงินหรือระบบบัญชีที่ชัดเจน
ปัญหานี้พบได้บ่อยในผู้รับเหมารายเล็ก ที่มักใช้บัญชีส่วนตัวปะปนกับบัญชีธุรกิจ ทำให้รายรับรายจ่ายไม่ชัดเจน เมื่อธนาคารขอตรวจสอบงบการเงินกลับไม่มีข้อมูลที่เป็นทางการเพียงพอ
ผลกระทบ: สถาบันการเงินไม่สามารถประเมินความสามารถในการชำระหนี้ได้ จึงอาจลดวงเงินที่อนุมัติ หรือปฏิเสธไปเลย
แนวทางแก้: แยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัว ทำบัญชีรายรับรายจ่ายทุกเดือน หรือจ้างนักบัญชีช่วยจัดทำงบการเงินประจำปี สิ่งนี้จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกิจการ
4. ไม่มีหลักประกันที่เพียงพอ
สินเชื่อบางประเภทอาจไม่ต้องใช้หลักประกัน แต่หากต้องการวงเงินสูง สถาบันการเงินมักขอหลักทรัพย์ เช่น ที่ดิน อาคาร หรือเครื่องจักร หากผู้รับเหมาไม่มีทรัพย์สินค้ำประกัน ก็อาจได้วงเงินน้อยกว่าที่ต้องการ
แนวทางแก้: พิจารณาสินเชื่อที่ไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำ หรือหาผู้ค้ำประกันที่มีเครดิตดี รวมถึงอาจใช้สัญญางานที่ได้รับเป็นหลักประกันแทนได้
5. เลือกสถาบันการเงินไม่เหมาะสม
ผู้รับเหมาหลายรายเลือกยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารทั่วไปที่ไม่มีผลิตภัณฑ์เฉพาะด้านสำหรับธุรกิจรับเหมา ส่งผลให้เงื่อนไขไม่ตรงความต้องการ เช่น ต้องการเงินทุนระยะสั้น แต่กลับถูกเสนอสินเชื่อระยะยาวที่ใช้เวลาอนุมัติหลายสัปดาห์
แนวทางแก้: เลือกสถาบันการเงินที่มีประสบการณ์ด้านสินเชื่อผู้รับเหมา เช่น BKL Money ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจรับเหมาโดยเฉพาะ
6. การสื่อสารไม่ชัดเจน
การอธิบายโครงการและการใช้เงินกู้เป็นอีกจุดสำคัญ ผู้กู้บางรายไม่สามารถอธิบายแผนธุรกิจหรือแผนการใช้เงินได้อย่างละเอียด ทำให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อไม่มั่นใจในความสามารถในการบริหารโครงการ
แนวทางแก้: เตรียมข้อมูลแผนธุรกิจ แผนการเงิน และระบุชัดเจนว่าสินเชื่อจะถูกนำไปใช้เพื่ออะไร เช่น ซื้อวัสดุ จ่ายค่าแรง หรือเช่าเครื่องจักร การสื่อสารที่ชัดเจนช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถืออย่างมาก
7. เงื่อนไขการจ่ายเงินของเจ้าของโครงการ
หลายครั้งเจ้าของโครงการภาครัฐหรือเอกชนมีเงื่อนไขการจ่ายเงินที่ล่าช้า 6090 วัน ซึ่งส่งผลต่อกระแสเงินสดของผู้รับเหมา ทำให้สถาบันการเงินกังวลเรื่องความสามารถในการชำระหนี้
แนวทางแก้: ยื่นสัญญาจ้างที่ระบุเงื่อนไขการชำระเงินชัดเจน พร้อมแสดงหลักฐานผลงานที่ผ่านมา เพื่อยืนยันว่าผู้รับเหมาสามารถบริหารงานได้แม้มีเงื่อนไขการจ่ายเงินที่ล่าช้า
สรุป
ปัญหาการขอสินเชื่อของผู้รับเหมามักเกิดจากการเตรียมตัวไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารไม่ครบ ประวัติการเงินไม่ดี หรือการสื่อสารไม่ชัดเจน หากผู้ประกอบการสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ โอกาสการอนุมัติสินเชื่อก็จะสูงขึ้น และทำให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าโครงการได้อย่างต่อเนื่อง
อย่าให้ปัญหาเรื่องสินเชื่อกลายเป็นอุปสรรค ติดต่อ BKL Money เพื่อขอคำปรึกษาและค้นหาสินเชื่อที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ